ซิฟิลิสเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
เกิด จากการติดเชื้อ Treponema pallidum เป็นโรคที่มีอันตราย
และมีอาการเรื้อรัง สามารถติดต่อยาวนานกว่า 2 ปี
ลักษณะการติดเชื้อเริ่มแรกจะเป็นก้อนแข็ง แต่ไม่เจ็บที่บริเวณอวัยวะเพศ
หากไม่รักษาจะกลายเป็นระยะที่สองที่เรียกว่า เข้าข้อหรือออกดอก ถ้าทิ้งไว้นานจะทำให้เกิดโรคแก่ระบบต่างๆ
ของร่างกายหลายระบบ ทั้งซิฟิลิสระบบหัวใจและหลอดเลือด ซิฟิลิสระบบประสาท เป็นต้น
นอกจากนี้ มารดาที่เป็นโรคซิฟิลิสจะถ่ายทอดโรคสู่ทารกในครรภ์ได้เรียกว่า
ซิฟิลิสแต่กำเนิด (congenital syphilis)จึงถือซิฟิลิสเป็นโรคที่มีอันตราย
และมีอาการเรื้อรัง สามารถติดต่อยาวนานกว่า 2 ปี
สาเหตุ
โรคซิฟิลิส เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ ทริปโปนีมา
พัลลิดุม (Treponema pallidum) มีลักษณะคล้ายเกลียวสว่าน (Spirochete
bacteria) เชื้อชอบอยู่ในที่มีความชื้น และตายได้ง่ายในที่มีความแห้ง
ถูกทำลายได้ง่ายด้วยสบู่หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ เชื้อมีระยะฟักตัวประมาณ 2-4 สัปดาห์
หรืออาจนานถึง 3 เดือน
อาการ
ระยะที่
1: เมื่อได้รับเชื้อ
บริเวณที่ได้รับเชื้อ เช่น ที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก ริมฝีปาก ลิ้น ต่อมทอนซิล หัวนม จะเริ่มมีตุ่มเล็กๆ ขนาดประมาณ 2-4 มิลลิเมตร
จากนั้นจะเริ่มขยายออก มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และจะแตกออกกลาย เป็นแผลที่กว้างขึ้น เป็นรูปไข่หรือวงรี
ขอบมีลักษณะเรียบ และแข็ง แผลมีลักษณะสะอาด บริเวณก้นแผลแข็ง มีลักษณะคล้ายกระดุม ไม่มีอาการเจ็บปวด ต่อจากนั้น
เชื้อจะเข้าไปอยู่ที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ ส่งผลให้มีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต เมื่อทิ้งไว้แผลสามารถหายไปได้เองโดยไม่ต้องรักษา
ระยะนี้เป็นระยะที่ยังไม่แสดงอาการ
ระยะที่
2: จะพบหลังการเป็นโรคระยะแรก 2-3 สัปดาห์
เชื้อซิฟิลิสจะเข้าไปอยู่ตามต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย เช่น บริเวณหลังหู หลังขาหนีบและขาพับ และเข้าไปสู่กระแสเลือด รวมทั้งกระจายไปตามอวัยวะต่างๆของร่างกาย จะทำให้เกิดผื่นขึ้นตามร่างกาย หรือเรียกว่า “ระยะออกดอก” ผื่นที่พบมีความแตกต่างจากผื่นลมพิษทั่วไป เพราะผู้ป่วยจะมีผื่นขึ้นที่บริเวณฝ่ามือด้วยและจะไม่มีอาการคัน ผื่นมีลักษณะเป็นตุ่มนูน และอาจพบมีเนื้อตายจากผื่นเป็นหย่อมๆ และพบเนื้อเน่าหลุดออกมา
มีน้ำเหลือง และในน้ำเหลืองจะมีเชื้อซิฟิลิส
ระยะนี้เป็นระยะที่ติดต่อได้โดยง่าย ผู้ป่วยบางรายอาจจะไม่มีผื่นขึ้นเลยแต่อาจจะมีอาการไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามข้อ ผมร่วงทั่วศีรษะหรือร่วงเป็นหย่อมๆ
เมื่อทำการตรวจเลือดในระยะนี้จะพบว่ามีผลบวกของเลือดสูงมาก
ถ้าผู้ป่วยยังไม่ได้รับการรักษา โรคจะอยู่ใน "ระยะสงบ"
โดยเชื้อจะไปหลบซ่อนตามอวัยวะต่างๆในร่างกาย และจะไม่แสดงอาการได้นานหลายปี เพียงแต่ตรวจเลือดให้ผลบวกเท่านั้น
ระยะที่
3: เป็นระยะสุดท้ายของโรค หรือระยะแฝง
เมื่อไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ผู้ป่วยจะเข้าสู่ระยะที่ 3 ประมาณ 3-10 ปีหลังจากระยะที่ 1 โดยมีอาการตามระบบต่างๆของร่างกาย เช่น ตาบอด เนื้อจมูกถูกทำลายจนเป็นรอยโหว่ หูหนวก ใบหน้าผิดรูป กระดูกผุบาง อาจมีสติปัญญาเสื่อม
บางรายอาจมีการแสดง ออกที่ผิดปกติคล้ายคนเสียสติ ถ้าเชื้อไปอยู่ที่หัวใจก็จะทำให้หัวใจมีความผิดปกติ ลิ้นหัวใจรั่ว หลอดเลือดแดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจมีลักษณะโป่งพอง
ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายได้ ถ้าเชื้อเข้าไปอยู่ที่ไขสันหลังก็จะทำให้เป็นอัมพาต และมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
การติดต่อ
โรคซิฟิลิส
สามารถติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคนี้ในระยะที่ 1 และถ้าสัมผัสกับน้ำเหลืองที่ผิวหนังของผู้ที่เป็นโรคนี้ในระยะที่ 2 (ระยะออกดอก)
ก็มีโอกาสที่จะรับเชื้อได้เช่นกัน นอกจากนี้ ในทารกที่ได้รับเชื้อผ่านมาจากมารดาโดยตรงโดยผ่านจากทางรก ก็จะมีอาการแสดงแต่กำเนิด ดังจะกล่าวในหัวข้อต่อ ไป
ส่วนโรคในระยะที่ 3 มักเป็นระยะที่ไม่มีการติดต่อ
การรักษา
เมื่อเกิดแผลบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
โดยเฉพาะหลังการมีเพศสัมพันธ์ ควรพบแพทย์เสมอ
เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของแผลที่เกิดขึ้น และเมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคซิฟิลิส แม้ว่าจะไม่มีอาการ หรืออยู่ในระยะโรคสงบก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา
เพราะเชื้อซิฟิลิสยังอยู่ในกระแสเลือดและพร้อมที่จะลุก ลามจนเกิดอาการที่รุนแรงได้ต่อไป
ทั้งนี้ แพทย์จะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ กลุ่มเพนิซิลลินในขนาดสูง
และจะต้องไปฉีดยาตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง การขาดยา จะเป็นสาเหตุสำคัญให้โรคไม่หาย
และเกิดโรคในระยะที่ ป้องกัน
ไม่สำส่อนทางเพศ
หลีกเลี่ยงการเที่ยวหญิงบริการ
หลีกเลี่ยงการดื่มสุราเพราะจะทำให้ขาดสติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น