โรคหูดข้าวสุก เป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยทั่วโลก อัตราการเกิดโรคพบมากขึ้นในประเทศเขตร้อน
ในประเทศสหรัฐอเมริกาพบประมาณ 1% ของประชากรทั้งหมด พบได้ในเด็กอายุหนึ่งปีขึ้นไป เนื่องจากในเด็กเล็กอายุน้อยกว่าหนึ่งปีนั้นจะมีภูมิคุ้มกันที่ส่งผ่านจากมารดาอยู่
จึงมักไม่ติดเชื้อนี้
โรคนี้เป็นโรคที่มีระยะแสดงอาการหลังการติดเชื้อได้ค่อนข้างนาน
อาจนานถึงหกเดือนแล้วหายเองได้ เป็นโรคพบมากในเด็กที่ช่วงอายุ 1-10 ปี
ส่วนในผู้ใหญ่หูดข้าวสุกที่บริเวณอวัยวะเพศถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง อัตราการเป็นโรคเพิ่มสูงขึ้นในผู้ป่วยโรคเอดส์ โดยพบอยู่ที่ 5-18%
ของประชากรที่ป่วยด้วยโรคเอดส์
อาการ
ลักษณะอาการของโรคหูดข้าวสุก คือ เป็นตุ่มสีเนื้อที่ผิวหนัง ไม่มีอาการคันหรือเจ็บ ขนาดประมาณ 2-5
มิลลิเมตร ตรงกลางอาจมีจุดบุ๋มลงไปคล้ายสะดือ มักพบบริเวณใบหน้า
แขน/ขา ในเด็ก และบริเวณอวัยวะเพศในผู้ใหญ่ ในรายที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง อาจมีอาการผื่นแดงคันบริเวณหูดข้าวสุกร่วมด้วย ซึ่งอาการผื่นแดงคันนี้ จะหายไปเมื่อทำการรักษาหูดข้าวสุก
ในผู้ป่วยโรคเอดส์ ปริมาณของหูดฯจะเกิดมากกว่าในคนที่ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคปกติ และมักดื้อต่อการรักษา โดยปกติ
(คนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคปกติ) หูดข้าวสุกนั้น
สามารถหายได้เองแม้ไม่ได้ทำการรักษาที่ระยะเวลาประมาณ 2-9 เดือน
มีส่วนน้อยมากที่อาศัยเวลา 2-3 ปีจึงหาย
สาเหตุ
สาเหตุของโรคหูดข้าวสุกเกิดจากเชื้อไวรัส ชื่อเดียวกันกับชื่อโรค คือ Molluscum
contagiosum virus ย่อว่า ไวรัส MCV/เอ็มซีวี
โดยหลังได้รับเชื้อจากการสัมผัส ไวรัสนี้จะเข้าไปแบ่งตัวในเซลล์ผิวหนังชั้นนอก เมื่อแบ่งตัวมากขึ้นๆ
ก็จะรวมกันเป็นก้อนในไซโตพลาสซึม (Cytoplasm,ของเหลวที่อยู่ภายในเซลล์) ของเซลล์ เรียกก้อนนี้ว่า Molluscum bodies ซึ่งจะมองเห็นได้จากกล้องจุลทรรศน์
และเมื่อแพทย์ตรวจพบก้อนนี้จากการตรวจชิ้นเนื้อผิวหนังที่เกิดโรค ก็จะเป็นตัวช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรคนี้ของแพทย์
ไวรัส MCV นั้นสามารถแยกย่อยออกได้เป็น 4 ชนิดย่อย/Subtype คือ MCV subtype 1 ถึง MCV subtype 4 แต่ทั้ง 4 ชนิดนั้นมีลักษณะอาการและการรักษาเช่นเดียวกัน
โดยมีชนิดที่ 1
(Subtype 1) เป็นสาเหตุในการเกิดโรคมากที่สุดถึง 98% ของโรคทั้งหมด
การติดต่อ
-การติดโรคจากการเกา ทำให้เชื้อโรคติดในเล็บและผิวหนังที่สัมผัสโรค และกระจายสัม ผัสผิวหนังจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งในคนๆเดียวกัน
เรียกการติดโรคด้วยวิธีนี้ว่า “Autoinocula tion” เช่น
รอยโรคแรกเป็นที่มือ
แต่เมื่อเอานิ้วมือที่สัมผัสโรคไปขยี้ตา ก็ทำให้เปลือกตาติดหูดข้าวสุกไปด้วย
-ติดเชื้อไวรัสจากสิ่งของที่ใช้ร่วมกันกับผู้ที่มีรอยโรคหูดข้าวสุก เช่น ผ้าขนหนู
และ/หรือ อุปกรณ์ในสถานออกกำลังกาย เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคหูดข้าวสุกนั้น
แท้จริงแล้วสามารถเป็นได้ทุกคน ทุกเพศทุกวัย เพราะปัจจัยเสี่ยงหลักคือ
การสัมผัสกับรอยโรค หรือสิ่งของที่มีเชื้อไวรัส
MCV อยู่
ดังนั้น
การลดปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อโรคหูดข้าวสุกทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสรอยโรค, ล้างมือเป็นประจำ,
ทำความสะอาดสิ่งของเครื่องใช้ที่ใช้ร่วมกัน, และไม่ใช้สิ่งของส่วน
ตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า เสื้อผ้า รองเท้า
ควรไปพบแพทย์
โดยปกติรอยโรคแต่ละตุ่มของหูดข้าวสุก จะหายได้เองภายในประมาณ
2-9 เดือน (โดยเฉลี่ย ประมาณ 2-3 เดือน)
การรักษานั้น เพียงทำให้รอยโรคหายเร็วขึ้น และลดการกระจายของเชื้อ
จึงแนะนำให้พบแพทย์เสมอเมื่อพบรอยโรคผิดปกติกับผิวหนังไม่ว่าในตำแหน่งใดก็ตาม
เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลรักษาที่ถูกต้อง และเหมาะสมในแต่ละบุคคล
การวินิจฉัยโรค
โดยปกติการตรวจรอยโรคที่ผิวหนังด้วยตาเปล่า พบลักษณะเฉพาะคือ เป็นตุ่มมีรอยบุ๋มคล้ายสะดือตรงกลางรอยโรค ก็สามารถบอกได้ว่ารอยโรคนั้นคือ หูดข้าวสุก แต่หากลักษณะรอยโรคไม่ชัดเจน ก็สามารถตัดชิ้นเนื้อที่รอยโรคเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา หรือเพียงแต่ใช้เข็มเจาะ/ดูด
แล้วนำสารภายในรอยโรคมาย้อมสีด้วยเทคนิคทางการแพทย์
เพื่อตรวจหาก้อน Molluscum bodies (กลุ่มของไวรัสที่สะสมอยู่ในไซโตพลาสซึมของเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส) ซึ่งจะเห็นเป็นสารสีส้มในสไล์ด
(Slide/แผ่นแก้วที่ใช้ย้อมสี)
รักษา
รอให้รอยโรคหายเอง เนื่องจากแต่ละรอยโรคใช้เวลาหายเองมักไม่เกิน 2-3 เดือน
ซึ่งอาจพิจารณาใช้วิธีนี้ในเด็กที่เป็นไม่มาก
เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดจากการรักษาด้วยวิธีอื่น
อาการแทรกซ้อน
ในรายที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนัง อาจมีผื่นคันร่วมด้วยที่ตำแหน่งหูดข้าวสุก, หูดข้าวสุกที่เป็นบริเวณเปลือกตา อาจทำให้เกิดเยื่อตาอักเสบได้, และในคนที่เกาแกะรอยโรคอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ
การปฏิบัติตน
-การดูแลตนเองเมื่อเป็นหูดข้าวสุก คือ พยายามไม่แกะเการอยโรค เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน และลดการพาเชื้อไปติดบริเวณอื่นของร่างกาย
(Autoinocula tion)
-ใส่เสื้อผ้าที่ปกคลุมรอยโรค เพื่อป้องกันการเกาจากตนเอง
และเพื่อป้องกันการสัมผัสรอยโรคสู่ผู้อื่น รอยโรคนอกร่มผ้าให้ใช้พลาสเตอร์กันน้ำแปะ
-เมื่อสัมผัสรอยโรค ให้ล้างมือด้วยสบู่ล้างมือ
หรือถ้าไม่มีที่ล้างมือ ให้ใช้เป็นแอลกอฮอล์ชนิดเจลทำความสะอาดมือได้
ป้องกัน
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสรอยโรคจากผู้ที่เป็นหูดข้าวสุกอยู่ เช่น
การเล่นกีฬาที่มีการสัมผัสกัน เช่น มวยปล้ำ หรือ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นหูดข้าวสุก
-ล้างมือเป็นประจำด้วยสบู่ล้างมือเมื่อสัมผัสสิ่งของสาธารณะ
-ทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกันเป็นประจำ โดยเฉพาะอุปกรณ์ในสถานที่ที่ใช้ร่วม
กัน เช่น สถานออกกำลังกาย
-ไม่ใช้เสื้อผ้าหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
หรือเก็บ/วางปะปนกับของผู้อื่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น