พยาธิช่องคลอด


        พยาธิช่องคลอด เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิด จากเชื้อโปรโตซัว Trichomonas vaginalis ผู้ป่วยจะมีอาการตกขาวผิดปกติ มีสีเขียวขุ่นหรือเหลืองเข้ม มีฟองอากาศและมีกลิ่นเหม็น เกิดการระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ คันและแสบปากช่องคลอด
สาเหตุ
                เกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัว ที่ชื่อ
Trichomonas vaginalis ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงเม็ดเลือดขาว เชื้อนี้มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลาทำให้เกิดการระคายเคืองมาก สามารถตรวจพบได้ในน้ำอสุจิและน้ำในช่องคลอด จึงถ่ายทอดผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์เป็นหลัก สำหรับการมีเพศสัมพันธ์โดยการใช้มือหรือนิ้วช่วย ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าทำให้เกิดการถ่ายทอดเชื้อได้
                กิจกรรมต่อไปนี้ ไม่ทำให้เกิดการถ่ายทอดเชื้อโรคพยาธิในช่องคลอด ได้แก่ กอด จูบ ใช้ห้องน้ำผ้าเช็ดตัวร่วมกัน การใช้สระว่ายน้ำร่วมกัน หรือการใช้แก้วน้ำ จาน ชามร่วมกัน

อาการ
                พบว่าผู้ชายมักไม่แสดงอาการ ในขณะที่ผู้หญิงจะมีอาการค่อนข้างชัดเจน อาการในผู้หญิง ได้แก่ ตกขาวผิดปกติ เช่น ปริมาณมากขึ้น มีสีเหลืองหรือเขียว แสบ เวลาปัสสาวะ คันในช่องคลอด เป็นต้น สำหรับอาการในผู้ชาย ได้แก่ มูกใสออกจากท่อปัสสาวะโดยไม่ใช่น้ำปัสสาวะหรือน้ำอสุจิ แสบเวลาปัสสาวะ ปวดที่อัณฑะ มีการอักเสบที่หนังหุ้มปลายองคชาต(พบน้อย) เป็นต้น

การวินิจฉัยโรค
                ขึ้นกับตำแหน่งและปริมาณเชื้อโรคพยาธิในช่องคลอด พบว่าการตรวจที่บริเวณคอจะมีความแม่นยำน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม ไม่มีการตรวจใดให้ผล 100
% ดังนั้น หากท่านยังคงมีอาการอยู่ ทั้งที่ผลการตรวจทุกอย่างเป็นลบ แนะนำให้มาตรวจติดตามเพื่อประเมินซ้ำอีกครั้ง ในทางกลับกัน หากท่านไม่มีอาการแต่ผลการตรวจเป็นบวก (เนื่องจากคู่นอนของท่านติดเชื้อ) แนะนำให้ท่านรับการรักษาอย่างครบถ้วน

การรักษาและการป้องกัน
                การใช้ยาปฏิชีวนะ ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาให้เร็วที่สุด เพื่อลดการแพร่เชื้อ ในกรณีที่ท่านมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ หากไม่สามารถที่จะรับการตรวจเพื่อวินิจฉัย ควรรับยาเพื่อการรักษาไปเลย
                ยาที่ใช้ในการรักษาเป็นยารูปรับประทานเป็นหลัก (
Metronidazole) มักเริ่มจากการรับประทาน ครั้งเดียว โดยมีจำนวนเม็ดยา 4-5 เม็ด หากการตอบสนองต่อยาชุดนี้ไม่ดี จะมีการรักษาเพิ่มเติมโดยการรับประทานยานานขึ้นเป็นจำนวน 7 วัน ผลข้างเคียงของยาคือ อาการคลื่นไส้อาจียนมาก หากท่านรับประทานยา แล้วอาเจียนเอาตัวยาออกไป ท่านควรจะต้องมารับยาใหม่และรับประทานอย่างถูกต้องครบถ้วน ยาปฏิชีวนะที่รักษาโรคนี้มีข้อควรระวัง คือ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างที่ใช้ยา ไปจนถึงหลังรับประทานยาเม็ดสุดท้ายหมดไปแล้ว 24 ชั่วโมง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น